-->

วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

แนะนำตัวเอง



นางสาววัลวิภา  วิจิตรจันทร์

คณะศึกษาศาสตร์  สาขาภาษาไทย

มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 56010514124



วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

จำเลยรัก


นวนิยายความรัก เรื่อง จำเลยรัก
ของ ชูวงศ์  ฉายะจินดา



หฤษฎ์ รังสิมันตุ์ ชายหนุ่มเจ้าของเหมืองแร่ใหญ่ทางภาคใต้ เกิดความแค้นเป็นที่สุดเมื่อ 
หริณ รังสิมันตุ์ น้องชายของเขาฆ่าตัวตาย โดยสาเหตุ ก็คือ ศันสนีย์ สาวสวยรวยเสน่ห์ 
และยังเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของ พระยาและคุณหญิงศุภอรรจน์ ศันสนีย์ ศุภอรรจน์ 
คือสาวสังคมที่หาตัว จับยากคนหนึ่ง และเป็นที่หมายปองของหนุ่มๆมากมาย

เพราะเธอมีเรือนร่างที่สวยงาม เปรี้ยวเฉียว และชาติตระกูลที่ดี จึงทำให้หนุ่ม ๆ พากัน หลงใหล
และหนึ่งในนั้นก็คือ หริณชายหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเคยหลงรักหญิงสาวที่ชื่อ โสรยา หญิงสาวผู้อาภัพ 
ที่ต้องสูญเสียบิดาตั้งแต่อายุห้าขวบ แถมบิดาก็เป็นแค่ข้าราชการชั้นผู้น้อย 
จึงไม่ได้ทิ้งมรดกอะไรไว้ให้กับมารดาของเธอ การเลี้ยงลูกที่อยู่ในวัยกำลังกำลังนอนถึงสามคน 
จึงเป็น ภาระสำคัญสำหรับมารดาเธอมาก ดังนั้นคุณหญิงผู้เป็นน้องสาวแท้ ๆ 
ของมารดาจึงขอโสรยามาเลี้ยงไว้ เพื่อเป็นเพื่อนเล่นกับ ศันสนีย์ ศุภอรรจน์

ใน ช่วงเวลานั้น หริณเป็นแฟนกับโสรยา แต่เมื่อหริณได้มาเจอกับศันสนีย์ 
ก็เปลี่ยนใจมาหลงรักศันสนีย์แทน แต่โสรยาก็ไม่เคยคิดแค้นแต่ อย่างใด 
เธอคิดเพียงว่าหากได้ทดแทนพระคุณของผู้มีพระคุณก็เพียงพอแล้ว โสรยายอมเป็นฝ่ายเจ็บปวด 
เพื่อให้ ศันสนีย์ มีความสุขกับหริณ แต่แล้วศันสนีย์ก็เกิดเบื่อหริณขึ้นมาในเวลาอันรวดเร็ว 
ทั้งนี้เป็นเพราะฐานะชาติตระกูลของหริณนั้นเทียบไม่ได้เลยกับตระกูลศุภอรรจน์ 
ศันสนีย์จึงปฏิเสธหริณอย่างไม่มีเยื่อใยและลบหริณออกจากความทรงจำ แล้วหันไปรับหมั้นกับ 
ธวัชชัย ชายหนุ่มที่เพียบพร้อมไปด้วยฐานะ ความรู้ และชาติตระกูล 
ซึ่งน่าจะทำให้ชีวิตของศันสนีย์สุขสบายในอนาคต

แต่ เมื่อวันหนึ่งสาวใช้ในบ้านยื่นนามบัตรของชายหนุ่มที่มาขอพบศันสนีย์ถึงหน้าบ้าน 
ชายคนนั้นคือ หฤษฏ์ รังสิมันตุ์ พี่ชายของ หริณ เขามาขอพบ เพื่อเคลียร์ปัญหาของน้องชาย 
ศันสนีย์ไม่อยากพบหน้า จึงขอให้โสรยาไปรับหน้าหฤษฏ์แทน ทันทีที่ หฤษฏ์พบโสรยา 
ก็เข้าใจผิดว่าเป็นศันสนีย์ จึงจับตัวโสรยาไปกักขังไว้ที่กระท่อมกลางป่าโดยมีนายใบ้เป็นคนดูแล 
เพื่อต้องการให้ล้างแค้นและให้ชดใช้ความผิดในการที่ทำให้หริณฆ่าตัวตาย 
แต่หฤษฎ์ก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นหญิงคนที่ลักพาตัวมา สามารถทำอาหารและงานบ้านอื่น
ได้อย่างชำนาญผิดกับสิ่งที่เขาเคยทราบว่า ศันสนีย์เป็น สาวไฮโซที่ทำอะไรจำจด

นานวันเข้าหฤษฎ์ใจอ่อนและเกิด ความรักขึ้นกับโสรยาในนามของศันสนีย์ 
จนทำให้บุญทายภรรยาที่เคยนอกใจของหฤษฎ์ ไม่พอใจแอบวางแผน ให้นายใบ้ปล้ำโสรยา 
แต่โชคดีที่ หฤษฎ์มาช่วยไว้ได้ทัน และขับไล่บุญทายออกไปจากชีวิตของเขา 
ด้วยความรักที่ก่อตัวขึ้นในใจและสงสารหฤษฎ์จึง ตัดสินใจปล่อยตัวโสรยาไป 
ส่วนโสรยานั้นก็ถึงแม้ต้องจากหฤษฎ์ไปก็ไปเพียงแต่ตัว 
เพราะหัวใจของโสรยาที่หฤษฎ์คิดว่าเป็นศันสนีย์นั้นตกเป็น จำเลยรักของหฤษฎ์ไปหมดแล้ว

เวลาผ่านไปจนวันหนึ่ง ศันสนีย์ได้พบกับหฤษฎ์ก็หลงรักทันที 
เธอจึงตัดสินใจทิ้งคู่หมั้นอย่างธวัชชัยโดยไม่ลังเล เหมือนครั้งที่เธอทำกับหริณหฤษฎ์เอง
พอทราบว่าแท้จริงแล้วผู้หญิงที่เขาลักพาตัวไปคือโสรยาซึ่งเป็นน้องสาวแสนดีของศันสนีย์ 
ก็ยอมเข้ามาพัวพันกับศันสนีย์เพราะหวังที่จะแก้แค้น แทนน้องชาย จนเมื่อความจริงปรากฏศันสนีย์
จึงไม่เหลือใครอยู่เคียงข้างกายแม้เพียงสักคน ศันสนีย์จึงหันกลับไปหาธวัชชัย ซึ่งธวัชชัยก็พร้อมที่ 
จะให้อภัยศันสนีย์ทุกอย่าง ส่วนหฤษฎ์ก็สามารถปรับความเข้าใจกับโสรยา 
หญิงสาวที่เขารักอย่างสุดหัวใจได้ในที่สุด




บ้านทรายทอง


นวนิยายความรัก เรื่อง บ้านทรายทอง
ของ ก.สุรางคนางค์



เรื่องราวของ “พจมาน” เด็กสาวผู้มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีและชาติกำเนิดของตน แม้จะเป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดาก็ตาม เธอจำเป็นต้องจากบ้านสวนเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเรียนหนังสือต่อ ตามความประสงค์ของบิดาที่เขียนสั่งไว้ก่อนเสียชีวิต ให้พจมานไปอาศัยอยู่กับครอบครัวหม่อมพรรณราย 
ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของพ่อที่ บ้านทรายทอง เธอถูกกลั่นแกล้งตั้งแต่เข้ามาอยู่
โดยมีหม่อมแม่และคุณหญิงเล็กน้องสาวของชายกลาง รวมถึงคนรับใช้ทุกคนในบ้านคอยแกล้งเธอ ชายกลางสงสาร และให้คุณหญิงใหญ่พี่สาวคนโตคอยช่วยเหลือ และพจมานก็คอยดูแลเอาใจใส่น้องชายคนเล็กของชายกลางที่เป็นง่อย เธอแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นคนที่เข้มแข็งอดทนมีจิตใจที่ดีงาม จนสามารถเอาชนะใจของชายกลาง และอีกหลายๆ คน จนเป็นผลสำเร็จ จนทั้งคู่ก็ได้แต่งงานกันในที่สุด

พจมานแต่งงานกับชายกลางที่บ้านทรายทอง หม่อมพรรณรายมางานอย่างเสียมิได้ น้องสาวของพจมาน พจนีย์มาเรียกร้องสิทธิ์จะอาศัยอยู่ด้วย เมื่อทั้งสองกลับจากฮันนีมูนพบกับปัญหาต่าง ๆ นานา
ทั้งไสวแม่บ้านและพจนีย์กับเด็กบุญเรือน ที่มักจะนำเรื่องภายในบ้านไปกระจายข่าว ทำให้เกิดเรื่องขัดแย้งกันเสมอ สามีเก่าของพจนีย์ก็มาขอเงินไปรักษาตัว จนไสวเอาไปรายงานหม่อมพรรณราย ทั้งพจนีย์และคนอื่น ๆ กล่าวหาพจมานในทางเสื่อมเสีย ส่วนหญิงเล็กแต่งงานกับนายบุญเติมเศรษฐีซึ่งมีประวัติไม่ดีนัก เมื่อน้องชายป่วยและเสียชีวิตในที่สุด

พจมานเสียใจมากและเหน็ดเหนื่อยกับปัญหาที่เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน จึงขอไปอยู่กับแม่ที่ต่างจังหวัดสักระยะ จนพจนีย์ไปพบจดหมายของสามีตนจึงเข้าใจพี่สาวและประกาศให้ทุกคนรู้ หม่อมพรรณรายเมื่อสูญเสียชายน้อย และรู้ว่ากำลังจะมีหลาน ก็ลดทิฏฐิลงหญิงใหญ่บอกชายกลางว่าเขากำลังจะมีลูก ชายกลางดีใจมาก รีบไปรับพจมานและบอกพจมานว่าความดีที่เพียรพยายามทำนั้น 
ในที่สุดทุกคนก็ยอมรับพจมานจึงกลับสู่บ้านทรายทอง และพบกับความเข้าใจของทุกคน

ทวิภพ


นวนิยายความรัก เรื่อง ทวิภพ
ของ ทมยันตี


 “โอ้ เวลาป่านฉะนี้เจ้าพี่เอ๋ย จะทำสิ่งใดเลยให้สงสัย จะรู้ซึ้งถึงคนที่ห่างไกล 
ฤามิได้คิดคำนึงถึงคนคอย”
 
การรอคอย…ความรู้สึกว่า หัวใจของเรานั้นคอยใครอยู่สักคน และรับรู้ถึงว่ามีใครคนนั้นคอยเราอยู่ หัวใจที่ต่างเฝ้าคอยกันและกันคือความถวิลหาที่แสนหวาน คือความงามของหัวใจดวงที่เปี่ยมสุขและหอมหวนอยู่กับวันเวลาแห่งความหวัง…วัน และเวลาที่เราทั้งสองจะได้พบกัน 
เพื่อรักกันให้เต็มหัวใจที่เฝ้าคอย…เนิ่นนาน
ช่วงเวลาของมณีจันทร์…ก้าวผ่านกระจกบานนั้น บานที่เปิดเป็นช่องทางให้ “ทวิภพ”
เชื่อมโยงเข้าหากัน ณ ที่ที่เธอเดินทางไป ณ เวลาที่เธอไปดำรงอยู่ แม้จะเสมือนว่า
คนละภพ…เสมือนเดินทางจากภพหนึ่งสู่ภพหนึ่ง แต่ทั้งสองภพต่างก็เป็นเวลาแห่ง “ปัจจุบัน”
ณ เวลาที่ผ่านมาก่อน มณีจันทร์คือ “แม่มณี” ของ “เจ้าคุณอัครเทพวรากร” ฑูตไทยคนแรกประจำสหรัฐอเมริกานักการฑูตไทยผู้มีบทบาทอย่างยิ่งยวดต่อกรณีการ แก่ปัญหาการรุกคืบเพื่อยึดแผ่นดินไทยของนักล่าอาณานิคม ทมยันตีแสดงความพราวในเชิงทางการฑูต เอาการเมืองการฑูตนำ…การทหาร ซึ่งแทบจะไม่มีแสนยานุภาพใดเลยในสายตาของนักล่าอาณานิคม
นี่คือเสน่ห์ของนวนิยายเรื่องนี้ “ความรักสิเน่หาที่ดำเนินไปบนวิถีแห่งความรับผิดชอบเพื่อแผ่นดิน การก้าวผ่านมิติเพื่อพบ เพื่อรัก และเพื่อร่วมหัวใจกัน ยอมแม้ละทิ้งชีวิตอีกภพหนึ่งไว้เพียง 
“เพราะรักเธอ” ประการเดียว


โซ่ตรวนผูกรัดสักร้อยหุน ใจมั่นมุงหักทลายได้ แต่ใยรักเบาบางสักเท่าใด ผูกพันไว้แนบสนิทนิจนิรันดร์ 


ผู้ใหญ่ลีกับนางมา


นวนิยายความรัก เรื่อง ผู้ใหญ่ลีกับนางมา
ของ กาญจนา  นาคนันทน์



ผู้ใหญ่ลีกับนางมาเป็นนิยายรักที่ยึดท้องนาเป็นฉากหลัง 

เราจะได้เห็นพระเอกกับนางเอกขับรถไถนา เลี้ยงไก่ เลี้ยงหมู รวมทั้งพิธีรีตองในงานสำคัญต่าง ๆ เช่น 
งานบวช การแห่นางแมว ฯลฯ

ผู้ใหญ่ลีกับนางมา เป็นนิยายที่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของผู้แต่งได้เป็นอย่างดี นั่นคือการเป็นนิยาย feel good ที่นำเสนอความสวยงาม ความน่ารัก ความโรแมนติค ในท้องไร่ท้องนาชนบท ถึงแม้อันที่จริง อาจจะไม่สวยหรูเช่นนั้น เพราะตัวละครหนุ่มสาวในเรื่อง เช่นผู้ใหญ่ลี หรือ คุณมา ล้วนแล้วแต่ค่อนข้าง "มีฐานะ" แล้วก็เรียกว่ามีความคิดค่อนข้างแตกต่างจากวัยรุ่นทั่วไป ๆ (จริง ๆ ถือเป็นความคิดที่เป็นผู้ใหญ่มากที่เลือกจะเสียสละอยู่พัฒนาท้องถิ่น
แทนการไขว่คว้าความฝันทีตนมี) แต่เมื่อมองในมุมกลับ ชีวิตในเมือง ที่ถูกสร้างให้สวยงามนั้น
 อันที่จริงก็ไม่ใช่ความจริงทั้งหมดเช่นกัน 

ผมค่อนข้างชื่นชมกับวิธีนำเสนอแบบนี้ทีเดียว ก็ในเมื่อนิยายต่าง ๆ พากันดึงคนเข้าเมืองกัน 
ทำไมจะมีนิยายที่ดึงหนุ่มสาวย้อนกลับมาสู่ชีวิตเกษตรกรรมในต่างจังหวัดบ้างไม่ได้


สี่แผ่นดิน


นวนิยายรัก เรื่อง สี่แผ่นดิน
ของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์  ปราโมช




สี่แผ่นดินนี้ เป็นการบันทึกภาพราย ละเอียดและเบื้องหลังเหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้เกิดขึ้นตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ลงมาถึงจนสิ้นแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และระยะเวลาระหว่างนี้ ได้มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นเป็นอันมากในเมืองไทย ผู้ประพันธ์ได้เอาเหตุการณ์ของบ้านเมืองสี่ สมัยมาเป็นเนื้อเรื่องและฉาก

     โดยตัวละครไม่ได้เป็นตัวทำให้มี เนื้อเรื่อง บุคคลในเนื้อเรื่องสี่แผ่นดิน คือ ตัวแทนของชนชั้นกลางในราชสำนักที่กำลังพบความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง


โดยมี พลอย หญิงในตระกูลขุนนางเก่า ที่มีชีวิตอยู่แต่ในรั้วในวัง เป็นตัวเอกของเรื่องเป็นผู้มองเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยค่านิยมของผู้ใกล้ชิดกับราชสำนัก เมื่อสิ้นรัชกาลที่ 5 พลอยได้ออกมาอยู่นอกวัง โดยได้สามี คือ เปรม ซึ่งเป็นข้าราชการ และก็ยังคงมีความเกี่ยวข้องกับราชสำนัก ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 7 เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ค่านิยมแบบเก่าของพลอยถูกกระทบกระเทือนหนักขึ้น เพราะความเห็นขัดแย้งทางการเมืองของลูกชายสามคน เมื่อเหตุการณ์ทำท่าจะดีขึ้น 


     ยุคสมัยก็เปลี่ยนไปอีก เมื่อ รัชกาลที่ 8 สวรรคต อันเป็นสาเหตุที่ทำให้พลอยไม่สามารถจะทานทนได้ และในวันที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 สวรรคต พลอยก็ถึงแก่กรรมพร้อมไปด้วย และนั่นคือการ 
สิ้นสุดชีวิตของชนชั้นกลางในราชธานี .... 

     จากการบรรยาลักษณะของแม่พลอยที่ดูสมจริงมากจนทำ ให้มีผู้อ่านจำนวนมากคิดว่า
เรื่องราวของแม่พลอยมาจากผู้ซึ่งมีตัวตนจริงๆ จากคำนำ ของหนังสือเรื่อ "สี่แผ่นดิน" ฉบับชุดแรก 
ซึ่งเขียนโดย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมท ทำให้ทราบว่าแม่พลอย เกิดจากจินตนาการของท่านเอง ไม่ได้มีบุคคลใดเป็นต้นฉบับของแม่พลอยโดย แท้สิ่งเดียวที่จะยอมรับได้ก็คือชาติสกุลของแม่พลอยเท่านั้น เพราะในเรื่องได้บอกไว้อย่างชัดเจนว่าแม่พลอยเป็นพวก "ก๊กฟากข้างโน้น" อัน เป็นศัพท์ที่ใช้เรียกคนสกุลบุนนาคในสมัยก่อน




ความสุขของกะทิ


นวนิยายความรัก เรื่อง ความสุขของกะทิ
ของ งามพรรณ  เวชชาชีวะ



     กะทิ เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องจากกับแม่ตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งแม่ของเขาไม่เคยสัญญาว่าจะกลับมา เขาอาศัยอยู่กับตายายที่บ้านริมคลอง กะทิรอแม่ทุกวัน ทุกๆเช้าเสียงของกระทะกับตะหลิวที่ยายทำกับข้าวจะปลุกให้กะทิตื่นขึ้นทุกวัน ภาพในบ้านไม่มีรูปถ่ายของแม่เลย ไม่เคยมีใครพูดถึงแม่ของเขา ซึ่งตอนนี้กะทิก็จำหน้าของแม่ไม่ได้แล้ว ทุกวันที่กะทิไปโรงเรียนยายจะทำสารพัดเมนูไข่ใส่ปิ่นโตให้กะทิไปกินที่ โรงเรียน กะทิอยากให้แม่ไปรับเขาที่โรงเรียนบ้าง ละกะทิก็มีพี่ทองที่เป็นเด็กวัดเป็นเพื่อนมาตั้งแต่เด็ก วันหนึ่งกะทิได้ปีนเข้าไปเล่นในโอ่งแล้วได้ยินเสียงของตาพูดกับใครคนหนึ่ง ทางโทรศัพท์ว่า 

“จะให้รอจนโรงเรียนเปิดเทอมก่อนหรือ เรามีเวลานานขนาดนั้นจริงหรือ” 

กะทิใช้ชีวิตตามประสาเด็กธรรมดาคนหนึ่ง จนกระทั่งวันหนึ่งยายถามเขาว่า “กะทิอยากไปหาแม่ไหมลูก” จากนั้นตาก็เดินเข้ามาแล้วดึงกะทิเข้าไปกอด และบอกกับเขาว่า “แม่ป่วย ป่วยมาก ไปรักษาตัวมาหลายแห่งแล้ว แต่ไม่หาย”

     น้าฎาเป็นคนขับรถมารับกะทิและตายายไปหาแม่ที่บ้านชายทะเล นานหลายปีทีเดียวที่กะทิไม่ได้พบแม่ เมื่อเขากับแม่ได้เจอกัน เขาทั้งสองกอดกัน แล้วน้ำตาจากความดีใจก็ไหลรินรวมกัน ในตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าแม่ของเขาเหลือเวลาอีกนานเท่าไร ในตอนนี้เขาใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านชายทะเลกับแม่ของเขาและแม่ก็เล่าให้เขาฟัง ว่าทำไมถึงต้องทิ้งเขามา เพราะตอนกะทิเด็กๆแม่ของเขาพากะทิไปพายเรือเล่นแล้วฝนตก ซึ่งตอนนั้นแม่ของเขาก็เริ่มป่วยแล้ว ขากลับแม่วางกะทิลงในเรือ แล้วหันไปปลดเชื่อกล่ามเรือ แต่ก็ทำเชื่อกหลุดมือ ตอนนั้นแม่ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่อธิฐานให้กะทิปลอดภัย แล้วแม่จะไม่แตะต้องตัวกะทิอีก แล้วพี่ทองก็พายเรือผ่านมาช่วยกะทิไว้ แล้วแม่ของเขาก็ทำตามที่พูดไว้ จากวันนั้นแม่ของเขาก็โคม่าอยู่สามวันก่อนจะจากไปอย่างสงบ

     พอเสร็จจากงานศพของแม่ กะทิก็เดินทางมาที่บ้านกลางเมืองและเขาได้เข้าไปภายในห้องชั้นบน
 ซึ่งมีลิ้นชักใหญ่เล็กที่กินเนื้อที่ของผนังตลอดแนว ลุงตองบอกว่าแม่จัดห้องนี้เอง แม่รวบรวมทุกอย่างไว้ที่นี้ ลิ้นชักทุกลิ้นชักมีเลข พ.ศ. กำกับไว้ตั้งแต่แม่เกิด แล้วลุงตองก็ได้ให้จดหมายจ่าหน้าซองถึงพ่อของกะทิ ลุงตองบอกว่าเพียงหย่อนจดหมายนี้ลงตู้กะทิก็จะได้พบพ่อ ทุกคนรอการตัดสินใจของกะทิว่าจะส่งจดหมายหรือไม่ กะทิขอให้ น้าฎาพาไปที่ตู้ไปรษณีย์เพื่อส่งจดหมาย และกะทิก็รออีก 7 วันตามที่แม่บอกไว้ แต่ไม่มีจดหมายตอบกลับจากพ่อ กะทิจึงกลับไปอยู่ที่บ้านริมคลองกับตายาย พี่ทองกลับมาจากต่างประเทศแล้วและพี่ทองก็ซื้อหนังสือดูดาวมาฝากกะทิ ภายในหนังสือมีโปสต์การ์ดลายมือพี่ทองจ่าชื่อที่อยู่ของกะทิ คืนนั้นกะทิใส่โปสต์การ์ดลงไปรวมกับจดหมายของแม่ที่เขียนถึงพ่อ จดหมายฉบับที่กะทิตัดสินใจไม่ส่งไปหาพ่อ

     กะทิกราบพระก่อนนอน พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปโรงเรียน ทุกอย่างเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แล้วเสียงตะหลิวของยายก็ปลุกกะทิขึ้นมาพบกับโลกใบนี้อีกครั้ง

วรรคทองของเรื่อง “ความสุขของกะทิ”

-     “อดีตเหมือนเงาบางครั้งทอดนำอนาคต”
-     “น้ำตาไม่อาจแทนความโศกเศร้าได้”
-     “หนูคืออนาคตของแม่ตั้งแต่วันที่ชีวิตแม่นับถอยหลัง”
-     “ความรักมีหลายรูปแบบและสีสัน”
-     “ความสุขของคนรอบข้างคือความสุขของเราด้วย”
-     “ทิ้งอดีตไว้ให้เป็นเพียงเงา”

ข้อคิดของเรื่อง “ความสุขของกะทิ”

-     “ชีวิตคนเราไม่แน่นอน จะทำอะไรก็ควรรีบทำ”
-     “การที่เราจะมีความสุขนั้นขึ้นอยู่กับตัวเราไม่ใช่สิ่งรอบกาย”
-     “ชีวิตของคนเรามีทั้งสุขและทุกข์”